5 มกราคม 2568
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจจากภาคการเกษตร แต่การนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตยังไม่แพร่หลาย ส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ประสบปัญหาผลผลิตต่ำและรายได้ไม่สูง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคการเกษตรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว
ล่าสุด โครงการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) ได้เกิดขึ้นจากการร่วมมือระหว่าง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โดยมีบริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด เป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการ โครงการนี้มุ่งเป้าสู่การยกระดับการเกษตรไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
การเกษตรแบบแม่นยำ
รองศาสตราจารย์ ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวถึงการก้าวสู่การเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Agriculture) โดยใช้เทคโนโลยี IoT, AI และ Big Data ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ระบบเซนเซอร์และการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ลดการใช้น้ำได้ถึง 90% และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดด้วยการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง
ส่งเสริมการเรียนรู้ในสถาบันการศึกษา
โครงการนี้ยังมุ่งพัฒนาองค์ความรู้ให้กับนิสิตและนักศึกษา ศาสตราจารย์ ดร.ประณัฐ โพธิยะราช จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่านิสิตจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพืชในโรงเรือนและการควบคุมสิ่งแวดล้อมผ่านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียน แต่ยังเตรียมพร้อมนิสิตสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างโอกาสใหม่ด้วย Plant Factory
มนตรี คงตระกูลเทียน จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เน้นความสำคัญของการเรียนรู้ระบบ Plant Factory ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเกษตรที่ช่วยลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร และเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้ ระบบนี้ยังช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกรวนและสร้างโอกาสให้เกษตรกรไทยเข้าสู่ตลาดส่งออก
บทบาทภาคเอกชนในนวัตกรรมการเกษตร
บริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการเกษตรแนวตั้งในเชิงพาณิชย์ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่ง เพื่อพัฒนาระบบฟาร์มแนวตั้งที่ลดการใช้น้ำและทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและตอบโจทย์ตลาดโลก วิลาส ฉ่ำเลิศวัฒน์ ผู้บริหารบริษัท ระบุว่าโครงการนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนานักนวัตกรรมการเกษตรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) และสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
ความหวังสู่ศูนย์กลางอาหารโลก
โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยในการพัฒนาภาคเกษตรให้ก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางอาหารของโลก” ด้วยการนำเทคโนโลยี IoT, AI และ Big Data มาปรับใช้ในภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความมั่นคงทางอาหาร พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและผลักดันเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
แหล่งที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4257453/