15 สิงหาคม 2567
ถั่วฝักยาวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย สามารถปลูกได้ในทุกภูมิภาค โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนและแห้งแล้ง ผลผลิตมักจะลดลง ทำให้ราคาสูงขึ้นถึง 70-90 บาทต่อกิโลกรัม
การพัฒนาสายพันธุ์ถั่วฝักยาว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้พัฒนาสายพันธุ์ถั่วฝักยาวหลายประเภท เช่น ถั่วฝักยาวสีเขียว สีเขียวปนม่วง และถั่วฝักยาวสีม่วง โดยเฉพาะถั่วฝักยาวสีม่วงที่มีจุดเด่นคือสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ร่างกาย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ อย่างไรก็ตาม พันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วงยังไม่เป็นที่นิยมในตลาดมากนัก เนื่องจากฝักมีความหนาเนื้อน้อย ออกดอกช้า และอายุการเก็บเกี่ยวค่อนข้างยาวนาน
การปรับปรุงพันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วง
เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนาพันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วงที่มีคุณภาพดีขึ้น ผลผลิตสูงขึ้น มีความหนาเนื้อมากขึ้น และอายุการเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น โดยได้ตั้งชื่อพันธุ์นี้ว่า “ถั่วฝักยาวสีม่วงพันธุ์ กวก.พิจิตร 1” ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคและเกษตรกร
ผลการวิจัยและทดสอบพันธุ์
การวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2560 โดยมีการคัดเลือกสายพันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วงสายต้น พจ.21-9-24-22 จากการผสมพันธุ์ระหว่างถั่วฝักยาวพันธุ์น่าน 1 ซึ่งมีฝักสดสีม่วงแดง ฝักยาว และผิวฝักเรียบ กับถั่วฝักยาวสายพันธุ์ YB15 ซึ่งมีฝักสดสีเขียว ผลผลิตสูง และมีความหนาเนื้อฝักสูง
ในปี 2563 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร ได้ปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วงนี้กับพันธุ์น่าน 1 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตรและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรร้อยเอ็ด ต่อมาในปี 2564 มีการปลูกทดสอบพันธุ์ในแปลงเกษตรกรในจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และกำแพงเพชร รวมทั้งหมด 4 ฤดูปลูก ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ถั่วฝักยาวสีม่วงสายต้น พจ.21-9-24-22 ให้ผลผลิตสูงในทุกฤดูปลูก ฝักสดมีสีม่วงเข้มตลอดทั้งฝัก และเจริญเติบโตได้ดี
ลักษณะเด่นของถั่วฝักยาวสีม่วงพันธุ์ กวก. พิจิตร 1
พันธุ์ถั่วฝักยาวสีม่วง กวก. พิจิตร 1 มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,942 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าพันธุ์น่าน 1 ถึง 46.27% อายุเก็บเกี่ยวฝักแรกอยู่ที่ 44 วันหลังปลูก ซึ่งเร็วกว่าพันธุ์น่าน 1 ถึง 5 วัน ฝักสดมีสีม่วงเข้มกว่า มีสารแอนโทไซยานินเฉลี่ย 187.4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักสด สูงกว่าพันธุ์น่าน 1 ที่มีเพียง 115.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักสด ความหนาเนื้อเฉลี่ย 2.05 มิลลิเมตร มากกว่าพันธุ์น่าน 1 ที่มีความหนาเฉลี่ย 1.53 มิลลิเมตร
พันธุ์นี้มีฝักตรง ผิวฝักย่น ความยาวฝักสดเฉลี่ย 44.88 เซนติเมตร และยาวสุดถึง 49.46 เซนติเมตร เหมาะสำหรับการบริโภคฝักสดเพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด นอกจากนี้ยังแนะนำให้ปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด
แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/news/local/2809281