การทำเกษตรอาจดูเหมือนเป็นงานที่แสนสงบ แต่จริง ๆ แล้วเกษตรกรต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพหลายอย่าง การสัมผัสกับดิน น้ำ สัตว์เลี้ยง และแมลงต่าง ๆ ทำให้เกิดโรคที่ไม่คาดคิด วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคที่มักเกิดจากการทำเกษตร ทั้งอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกัน มาเรียนรู้และเตรียมตัวให้พร้อมกันเถอะ!
โรคไข้ฉี่หนู (Leptospirosis)
โรคไข้ฉี่หนูหรือเลปโตสไปโรซิส เกิดจากแบคทีเรีย Leptospira spp. ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้น โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำขังหรือนาข้าวที่มีน้ำท่วมเป็นประจำ เกษตรกรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ
อาการของโรคไข้ฉี่หนูจะเริ่มด้วยไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง และมีอาการหนาวสั่น บางครั้งอาจมีผื่นขึ้นร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะตับอักเสบ ไตวาย หรือมีปัญหาที่ระบบประสาท ซึ่งอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษาโรคไข้ฉี่หนูมักใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ดอกซีไซคลิน หรือเพนิซิลลิน
การป้องกันที่สำคัญคือการสวมรองเท้าบู๊ทและถุงมือเมื่อทำงานในพื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำหรือดินที่สงสัยว่ามีฉี่หนูปนเปื้อน และทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้าหลังการทำงานในพื้นที่เสี่ยง
โรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis)
โรคบรูเซลโลซิสเกิดจากแบคทีเรีย Brucella spp. โรคนี้พบในสัตว์เลี้ยง เช่น วัว แพะ แกะ และหมู การติดเชื้อในมนุษย์มักเกิดจากการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำนมดิบที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ เกษตรกรที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคบรูเซลโลซิสรวมถึงไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า และมีเหงื่อออกตอนกลางคืน หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะข้ออักเสบ โรคหัวใจ หรือปัญหาที่ระบบประสาท การรักษาใช้ยาปฏิชีวนะเช่น ดอกซีไซคลินร่วมกับสเตรปโตมัยซิน หรือ ริแฟมพิซิน
การป้องกันโรคบรูเซลโลซิสเน้นที่การรักษาความสะอาดและสุขอนามัยในการดูแลสัตว์เลี้ยง การสวมถุงมือเมื่อทำงานกับสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และการหลีกเลี่ยงการดื่มนมดิบที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza)
โรคไข้หวัดนกเกิดจากเชื้อไวรัส Influenza A สายพันธุ์ H5N1 การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับนกที่ติดเชื้อหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส เกษตรกรที่ทำงานในฟาร์มสัตว์ปีกหรือพื้นที่ที่มีนกป่ามากมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคไข้หวัดนกในมนุษย์รวมถึงไข้สูง ไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ และหายใจลำบาก บางครั้งอาจมีอาการท้องเสียและปวดท้องร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะปอดบวมและปัญหาที่ระบบหายใจซึ่งอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษาโรคไข้หวัดนกใช้ยาต้านไวรัสเช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และการรักษาแบบประคับประคองในโรงพยาบาล
การป้องกันโรคไข้หวัดนกเน้นที่การรักษาความสะอาดของฟาร์มสัตว์ปีก การสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือเมื่อทำงานกับนก และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับนกป่าหรือซากนกที่น่าสงสัยว่าติดเชื้อ
โรคมาลาเรีย (Malaria)
โรคมาลาเรียเกิดจากเชื้อปรสิต Plasmodium spp. ซึ่งแพร่กระจายผ่านการกัดของยุง Anopheles ยุงเหล่านี้มักพบในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น นาข้าว บึง หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ เกษตรกรที่ทำงานในพื้นที่ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ
อาการของโรคมาลาเรียรวมถึงไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย บางครั้งอาจมีอาการท้องเสียและคลื่นไส้ หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถพัฒนาไปสู่ภาวะโลหิตจาง ตับและไตวาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษาโรคมาลาเรียใช้ยาต้านปรสิตเช่น ควินีน (Quinine) หรืออาร์เทมิซินิน (Artemisinin) ร่วมกับยาต้านมาลาเรียอื่น ๆ
การป้องกันโรคมาลาเรียเน้นที่การป้องกันยุงกัด เช่น การใช้มุ้งเคลือบสารกันยุง การทายากันยุง และการสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายเมื่อทำงานในพื้นที่เสี่ยง นอกจากนี้ยังควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น การถ่ายเทน้ำในแหล่งน้ำขังและการใช้น้ำยากำจัดลูกน้ำยุง
โรคตับอักเสบเอ (Hepatitis A)
โรคตับอักเสบเอเกิดจากเชื้อไวรัส Hepatitis A ซึ่งแพร่กระจายผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสนี้ เกษตรกรที่ทำงานในพื้นที่ที่มีสภาพสุขอนามัยต่ำหรือใช้น้ำที่ไม่สะอาดมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคตับอักเสบเอรวมถึงไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และตัวเหลืองตาเหลือง การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบและต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการฟื้นฟู การรักษาโรคตับอักเสบเอมักเป็นการรักษาแบบประคับประคอง และเน้นที่การพักผ่อน การดื่มน้ำมาก ๆ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การป้องกันโรคตับอักเสบเอเน้นที่การรักษาความสะอาดของอาหารและน้ำ การล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และการใช้น้ำดื่มที่สะอาด นอกจากนี้ยังควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบเอเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
โรคตับอักเสบบี (Hepatitis B)
โรคตับอักเสบบีเกิดจากเชื้อไวรัส Hepatitis B ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ที่ติดเชื้อ เกษตรกรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือมีบาดแผลเปิดมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคตับอักเสบบีรวมถึงไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และตัวเหลืองตาเหลือง การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ การรักษาโรคตับอักเสบบีใช้ยาต้านไวรัสเช่น เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir) หรือเอนเทคาเวียร์ (Entecavir)
การป้องกันโรคตับอักเสบบีเน้นที่การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลืองของผู้ที่ติดเชื้อ การสวมถุงมือเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัส Rabies ซึ่งแพร่กระจายผ่านการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัดหรือข่วน เกษตรกรที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว หรือสัตว์ป่ามีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคพิษสุนัขบ้ารวมถึงไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวดกล้ามเนื้อ และอาการทางระบบประสาท เช่น กระวนกระวาย อาการกลัวน้ำ และกลัวลม หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้สามารถทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่วัน การรักษาโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อมีอาการแล้วมักไม่ได้ผล แต่หากได้รับวัคซีนป้องกันภายในระยะเวลาที่เหมาะสมหลังถูกกัดสามารถป้องกันการเกิดโรคได้
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเน้นที่การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสัตว์เลี้ยง และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับเกษตรกรที่มีความเสี่ยงสูง
โรคเท้าช้าง (Lymphatic Filariasis)
โรคเท้าช้างเกิดจากการติดเชื้อหนอนพยาธิ Wuchereria bancrofti, Brugia malayi หรือ Brugia timori ซึ่งแพร่กระจายผ่านการกัดของยุง Anopheles, Culex หรือ Mansonia ยุงเหล่านี้มักพบในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น นาข้าว บึง หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ
อาการของโรคเท้าช้างรวมถึงบวมที่ขา แขน หรือนอกรูปแบบที่ผิดปกติของอวัยวะเพศ การติดเชื้อหนอนพยาธินี้ทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อระบบน้ำเหลือง ซึ่งทำให้เกิดอาการบวมอย่างรุนแรงและเจ็บปวด การรักษาใช้ยาต้านพยาธิเช่น ไดเอธิลคาร์บามาซีน (Diethylcarbamazine) หรืออัลเบนดาโซล (Albendazole)
การป้องกันโรคเท้าช้างเน้นที่การป้องกันยุงกัด เช่น การใช้มุ้งเคลือบสารกันยุง การทายากันยุง และการสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายเมื่อทำงานในพื้นที่เสี่ยง นอกจากนี้ยังควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น การถ่ายเทน้ำในแหล่งน้ำขังและการใช้น้ำยากำจัดลูกน้ำยุง
โรคบิด (Dysentery)
โรคบิดเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Shigella spp. หรือเชื้ออะมีบา Entamoeba histolytica การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคนี้ เกษตรกรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสภาพสุขอนามัยต่ำหรือใช้น้ำที่ไม่สะอาดมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคบิดรวมถึงท้องเสียรุนแรง มีเลือดหรือเมือกในอุจจาระ ปวดท้อง และไข้ การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการฟื้นฟู การรักษาโรคบิดใช้ยาต้านแบคทีเรียหรือยาต้านปรสิตตามสาเหตุของโรค เช่น ซิโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) หรือเมโทรนิดาโซล (Metronidazole)
การป้องกันโรคบิดเน้นที่การรักษาความสะอาดของอาหารและน้ำ การล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และการใช้น้ำดื่มที่สะอาด นอกจากนี้ยังควรปรุงอาหารให้สุกก่อนบริโภคเพื่อทำลายเชื้อโรค
โรคไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C)
โรคไวรัสตับอักเสบซีเกิดจากเชื้อไวรัส Hepatitis C ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับเลือดของผู้ที่ติดเชื้อ เกษตรกรที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือมีบาดแผลเปิดมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซีรวมถึงอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และตัวเหลืองตาเหลือง การติดเชื้อนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีใช้ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น โซฟอสบูเวียร์ (Sofosbuvir) ร่วมกับเลดิพาสเวียร์ (Ledipasvir)
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีเน้นที่การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของผู้ที่ติดเชื้อ การสวมถุงมือเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และการหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น